3. แต่ละเซ็ตสามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ 2 คน ซึ่ง
จากเดิมเราแทบจะไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนตัวระหว่างการเล่นเลย
เมื่อมีกติกานี้ทำให้แต่ละทีมต้องพัฒนารูปแบบการเล่นให้หลากหลายทั้งเกมรับ
และรุกเพื่อแก้เกมของคู่ต่อสู้
อย่าง
ที่ทราบกันว่าผลงานของนักกีฬาเซปักตะกร้อบ้านเรานั้นนับได้ว่าประสบความ
สำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 10 ปีหลังที่แทบจะไม่มีใครได้แหยมเราเลย
แต่ก็เหมือน
ดาบ 2 คม
เพราะประเทศต่างๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากีฬาชนิดนี้เล่นยากระดับเทพ
ครั้นจะไล่ฝีมือให้เทียบเท่าชาติเก๋าเกมอย่างไทย
มาเลเซียหรือพม่าก็ยากเต็มที
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาวงการเซปักตะกร้อจึงได้ร่วมปรับเปลี่ยนกฏกติกามาอย่าง
ต่อเนื่อง
โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการขยายความนิยมไปยังต่างชาติต่างทวีปทั้งยุโรปและ
มหาอำนาจฝั่งอเมริกา
ไล่
เรียงมาจากการปรับวิธีการนับคะแนนให้เป็นระบบเรียลลี่พอยท์เซ็ตละ 21 คะแนน
แต่ถึงกระนั้นเรื่องวัสดุของลูกเซปักตะกร้อก็โดนต่อว่าต่อขานไม่น้อย
จนต้องมีการผลิตลูกเซปักตะกร้อชนิดใหม่
ซึ่งใช้พลาสติกที่นิ่มกว่าของเดิมและเพิ่มบุยางรอบลูกตะกร้อ
ส่งผลให้ลูกตะกร้อนุ่มและหยืดหยุ่นน่าเล่นมากขึ้น
แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้ประเทศต่างๆหันมาสนใจมากนัก
ล่าสุดสหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ(ISTAF) ได้ปรับกติกาใหม่
ซึ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มโอกาสการชนะของชาติที่เป็นรอง
การลดความได้เปรียบ-เสียเปรียบ และการทำให้เกมสนุกเร้าใจมากขึ้น
ดังจะขอแจกแจง 3 กติกาข้อใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงดังนี้
1. หาผู้ชนะโดยใช้ ระบบการเล่น 3 ใน 5 เซ็ต เซ็ตละ 15 คะแนน มี
เพดานแต่ละเซ็ตอยู่ที่ 17 คะแนน จากเดิมที่เล่นแบบ 2 ใน 3 เซ็ต เซ็ตละ 21
คะแนน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้แต้มในแต่ละเซ็ตสั้นลง
เพิ่มโอกาสการชนะให้ทีมที่เป็นรอง
โดยเฉพาะฝั่งยุโรปที่เครื่องร้อนเร็วและถนัดในเกมสั้น
2. แต่ละทีมจะได้สิทธิ์เสิร์ฟลูกติดต่อกัน 3 แต้ม และ
ผลัดกันเสิร์ฟจนจบเซ็ต
กติกานี้จะลดความได้เปรียบของชาติที่มีตัวเสิร์ฟเก่งๆโดยเฉพาะทีมชาติไทย
ซึ่งถ้าเป็นกติกาเดิมทีมใดมีตัวเสิร์ฟที่ดีก็อาจทำแต้มได้ 10 แต้มรวด
ทั้งนี้ยังทำให้เกมสนุกขึ้นเพราะผู้ชมจะได้ดูทั้งการรุกและรับของแต่ละทีม
ด้วย
3. แต่ละเซ็ตสามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ 2 คน ซึ่ง
จากเดิมเราแทบจะไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนตัวระหว่างการเล่นเลย
เมื่อมีกติกานี้ทำให้แต่ละทีมต้องพัฒนารูปแบบการเล่นให้หลากหลายทั้งเกมรับ
และรุกเพื่อแก้เกมของคู่ต่อสู้
การ
เปลี่ยนแปลงกติกาครั้งนี้ได้ใช้ครั้งแรกในการแข่งขันเซปักตะกร้อชิงถ้วยพระ
ราชทานสมเด็จพระเทพฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ปรากฏว่าการแข่งขันดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและได้รับกระแสตอบรับที่ดีจาก
นักกีฬาผู้ฝึกสอนและกองเชียร์ จึงได้สืบเนื่องมาที่รายการสำคัญอย่าง
การแข่งขันเซปักตะกร้อชิงแชมป์โลก “ISTAF World Cup 2011”
ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งทีมชาติไทยยังคงเป็น 1
ในวงการเซปักตะกร้อโลกทั้งทีมชายและหญิง
และแน่นอนว่ากติกานี้จะถูกใช้ในทุกรายการทั้ง ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์
และจะต้องมีการผลักดันให้เกิดขึ้นในกีฬาโอลิมปิคให้ได้ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น